โครงสร้างที่แข็งแรงมาจากวัสดุก่อสร้างในส่วนผสมคอนกรีตที่ได้มาตรฐานและคุณภาพ แต่ก่อนจะได้งานก่อสร้างที่มีความมั่นคง และแข็งแรงขนาดนี้ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักว่าการผสมคอนกรีตคืออะไร มีกี่ประเภท รวมถึงวิธีการบ่มคอนกรีตให้ดีและมีประสิทธิภาพ

การผสมคอนกรีตคืออะไร

การผสมคอนกรีต เป็นการผสมกันระหว่างปูนซีเมนต์ ทรายก่อสร้าง และหินก่อสร้างเข้าด้วยกัน โดยจะเรียกว่าส่วนผสมคอนกรีต ซึ่งนิยมนำไปใช้ในงานก่อสร้างโครงสร้าง เช่น อาคาร บ้านและคอนโด เป็นต้น มีคุณสมบัติแข็งแรง ต้องสามารถรองรับน้ำหนักได้มาก

การผสมคอนกรีตมีกี่ประเภท

การผสมคอนกรีตหลัก ๆ จะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน แต่ละประเภทจะแตกต่างกันอย่างไร และเหมาะสมกับงานประเภทไหนบ้าง

  1. การผสมโดยน้ำหนัก วิธีการผสมคอนกรีตโดยการชั่งน้ำหนัก จะได้สัดส่วนที่ถูกต้อง วิธีนี้จะเหมาะกับงานที่ต้องใช้แรงอัดสูง เหมาะกับงานก่อสร้างใหญ่ที่รองรับน้ำหนักได้เยอะ ๆ 
  2. การผสมโดยปริมาตร วิธีนี้ก็จะได้ส่วนผสมคอนกรีตที่แน่นอนและสม่ำเสมอเหมือนกับการผสมน้ำหนักเช่นกัน แต่จะเหมาะกับงานก่อสร้างทั่วไป ที่ไม่ได้ต้องใช้แรงอัดสูงมาก

ส่วนผสมคอนกรีต

ส่วนผสมคอนกรีต

โดยส่วนผสมคอนกรีตที่นิยมใช้หลัก ๆ ในงานก่อสร้างก็จะมีอยู่ทั้งหมด 4 อย่างด้วยกัน ดังนี้

  1. ปูนซีเมนต์ ควรเลือกใช้ปูนซีเมนต์ที่มีคุณภาพ เพราะจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับคอนกรีต
  2. หินก่อสร้าง หินที่ดีในการใช้ผสมคอนกรีต ต้องเป็นหินที่มีขนาดพอดี และสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรกเจือปน ไม่มีเศษดินหรือเศษวันพืชผสมเข้ามา มีผิวขรุขระและความเหลี่ยมคม ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับการเทคอนกรีตเป็นอย่างมาก
  3. ทรายก่อสร้าง ต้องเป็นทรายสำหรับใช้ในงานก่อสร้างเท่านั้น การเลือกใช้ทรายในงานก่อสร้างจำเป็นต้องเลือกทรายที่มีการจับตัวกันแน่น เพื่อความแข็งแรงและทนทานของคอนกรีต
  4. น้ำ ส่วนผสมคอนกรีตที่จะช่วยให้วัสดุทุกอย่างผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างดี แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้ เช่นกัน หากใช้ในจำนวนที่มากเกินไปก็จะทำให้ส่วนผสมมีความเหลว ทำให้คุณภาพคอนกรีตลดลงได้

อัตราส่วนผสมคอนกรีต

งานโครงสร้างก็มีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นพื้น เสา ถนน ฯลฯ งานก่อสร้างแต่ละประเภทก็จะใช้จำนวนอัตราส่วนผสมคอนกรีตที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่จะใช้หน่วยเรียกว่า คิว (คิวบิกเมตร) โดยสามารถคำนวณส่วนผสมด้วยสูตรปูนตามความกว้าง x ความยาว x ความหนา = ปริมาณคอนกรีตที่ต้องใช้ในการเท หรือปริมาณคอนกรีต n คิวที่จะต้องใช้ สามารถผสมคอนกรีตตามอัตราส่วนนี้ได้เลย

  • สูตร 1 : 2 : 4 สูตรนี้จะใช้ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน ทราย 2 ส่วนและหิน 4 ส่วน เหมาะสำหรับงานโครงสร้างคอนกรีตทั่วไปที่ต้องการความแข็งแรงมาก และสามารถรองรับน้ำหนักได้เยอะ เช่น พื้น เสา คาน ตอม่อ เป็นต้น
  • สูตร 1 : 3 : 5 สูตรนี้จะใช้ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน ทราย 3 ส่วนและหิน 5 ส่วน เหมาะสำหรับเทคอนกรีตหยาบ ใช้ปรับระดับความสูงต่ำ หรืองานรับกำลังได้ต่ำ
  • สูตร 1 : 1.5 : 3 สูตรนี้จะใช้ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน ทราย 1.5 ส่วนและหิน 3 ส่วน เหมาะสำหรับงานถนน และโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรง และสามารถรองรับน้ำหนักได้เยอะมาก ๆ 
  • สูตร 1 : 1.5 : 2 สูตรนี้จะใช้ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน ทราย 1.5 ส่วนและหิน 2 ส่วน เหมาะกับงานโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและความทนทาน เช่น คอนโด หรืออาคารสูง เป็นต้น

ทั้งนี้ ก่อนผสมอัตราส่วนผสมคอนกรีตทั้งหมดต้องให้ทราย และหินมีความแห้งสนิท หากผสมใช้ทั้งที่ทรายเปียก เม็ดทรายจะมีลักษณะพองตัวขึ้นทำให้โครงสร้างคอนกรีตไม่แข็งแรง และอัตราส่วนน้ำในการผสมก็สำคัญมากเช่นกัน หากคอนกรีตมีความเหลวมากเกินไป ก็จะไม่เหมาะกับงานนั้น ๆ

3 วิธีการบ่มคอนกรีตให้ได้หน้าคอนกรีตที่เรียบเนียน

หลังจากทำการเทส่วนผสมคอนกรีตตามที่ต้องการไว้แล้ว ขั้นตอนที่สำคัญหลังจากการเทคือการบ่มคอนกรีตเอาไว้ เพื่อช่วยป้องกันน้ำในคอนกรีตที่เราเทลงไประเหยออกไป เนื่องจากคอนกรีตที่เริ่มแข็งตัว จะทำปฏิกิริยาบีบอัด เพื่อให้คอนกรีตออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด การบ่มคอนกรีตจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ เพราะจะช่วยให้คอนกรีตไม่คายความชื้นออกมา โดยจะมีวิธีบ่มถึง 3 วิธีด้วยกัน

3 วิธีการบ่มคอนกรีตให้ได้หน้าคอนกรีตที่เรียบเนียน

1. เพิ่มความชื้น

หลังจากเทส่วนผสมคอนกรีตลงไปแล้ว เนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยที่มีความร้อน ทำให้หน้าคอนกรีตอาจจะโดนกันความร้อนโดยตรง ดังนั้น ควรรักษาความชื้นบนพื้นคอนกรีตไว้ให้ได้มากที่สุด โดยวิธีการเพิ่มความชื้นจะทำได้หลายวิธี เช่น

  • ฉีดน้ำ 
  • คลุมเพื่อรักษาความชื้น 
  • หล่อน้ำ

2. กักความชื้น

คือการกักเก็บความชื้นไว้โดยใช้ผ้าใบ กระสอบหรือวัสดุที่สามารถซับน้ำได้ คลุมไปบนพื้นผิวคอนกรีต เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นสามารถระเหยออกไปได้

3. ใช้อุณหภูมิสูงในการบ่มคอนกรีต

เป็นวิธีการบ่มที่ใช้ระยะเวลาน้อยที่สุด เหมาะสำหรับงานบ่มคอนกรีตสำเร็จรูป เช่น ท่อ คาน เป็นต้น แต่มีข้อควรระวัง หากใช้อุณหภูมิที่สูงเกินไป อาจจะทำให้หน้าคอนกรีตแตกได้

ระยะเวลาในการบ่มคอนกรีต

หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามระยะเวลาในการบ่มคอนกรีต เพราะระยะเวลาในการบ่ม 7 – 14 วันแรกเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เพื่อรักษาระดับความชื้นไว้ให้ส่วนผสมคอนกรีตทำปฏิกิริยาร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ระยะเวลาในการบ่มจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้คอนกรีตมีความแข็งแรง ทนทานและสามารถใช้งานได้ยาวนาน

ส่วนผสมคอนกรีตที่ดีมาจากหิน – ทรายที่มีคุณภาพ

คอนกรีตที่ดีต้องมาจากวัสดุที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะปูน หินและทราย 3 หัวใจหลักของส่วนผสมคอนกรีต การใช้หินทรายที่มีคุณภาพจะช่วยให้คอนกรีตที่ได้ มีความแข็งแรง ทนทาน คุณภาพดี และสามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ 

 

“จำลอง กรุ๊ป” คัดสรรหินและทรายที่มีคุณภาพเป็นอย่างดี ผ่านตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญก่อนขนส่งทุกครั้ง รวมทั้งมีบริการจัดส่งที่ได้มาตรฐานให้คุณได้มั่นใจในคุณภาพ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี พร้อมมอบประสบการณ์ดี ๆ ให้คุณ